1. ยื่นแบบประจำเดือน ประกอบด้วย
- ให้คำแนะนำการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม - VAT เพื่อให้สอดคล้องกับสรรพากร
- จัดทำและยื่นภาษีเงินได้พนักงานหัก ณ ที่จ่าย (ภงด.1)
- จัดทำและยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย (ภงด.3)
- จัดทำและยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย (ภงด.53)
- จัดทำและยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม - VAT (ภพ.30)
- จัดทำรายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขายประจำเดือน
- จัดทำและยื่นเงินสมทบประกันสังคมประจำเดือน
- ให้คำปรึกษาปัญหาภาษีตลอดปีโดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม
2. ยื่นแบบประจำปี ประกอบด้วย
- จัดทำและยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลกลางปี (ภงด.51) และภาษีเงินได้นิติบุคคลสิ้นปี (ภงด.50)
- จัดทำและยื่นแบบนำส่งงบการเงินต่อกระทรวงพาณิชย์ (สบช.3)
- จัดทำและยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายพนักงานประจำปี (ภงด.1ก)
3. ปิดบัญชีประจำเดือน ประกอบด้วย
- ให้คำแนะนำวิธีการบัญชีเพื่อผลด้านภาษีอากรที่ดีและถูกต้อง
- ให้คำแนะนำระบบบัญชี ผังทางเดินเอกสาร รวมถึงเอกสารเบื้องต้นที่จำเป็นในการบันทึกบัญชี
- บันทึกรายการค้าประจำเดือน จัดทำสมุดบัญชีซื้อ, สมุดบัญชีขาย, สมุดบัญชีรับเงิน, สมุดบัญชีจ่ายเงิน, สมุดบัญชีจ่ายเงินสดย่อย,
สมุดรายวันทั่วไป และบัญชีแยกประเภท
- จัดทำงบทดลองและงบการเงิน
- จัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคาร
- จัดทำทะเบียนสินทรัพย์
- จัดทำรายละเอียดประกอบบัญชีที่สำคัญเช่นรายละเอียดลูกหนี้, รายละเอียดเจ้าหนี้ เป็นต้น
- ลงทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชี
- ให้คำปรึกษาปัญหาบัญชีตลอดปีโดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม
บริษัทฯ เป็นผู้บันทึกรายการบัญชีตามเอกสารหลักฐานข้อมูลทางการเงิน และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่ท่านส่งมอบให้
โดยการบันทึกรายการบัญชีจะปฏิบัติเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ดังนี้
- บันทึกรายการบัญชีตามเอกสารหลักฐาน – รายการค้า ประจำเดือน
- จัดทำสมุดบัญชีขาย
- จัดทำสมุดบัญชีซื้อ
- จัดทำสมุดบัญชีรับเงิน
- จัดทำสมุดบัญชีจ่ายเงิน
- จัดทำสมุดบัญชีรายวันทั่วไป
- จัดทำสมุดบัญชีแยกประเภท
- จัดทำงบทดลอง และรายงานงบการเงิน
- จัดทำทะเบียนสินทรัพย์ถาวร
- จัดทำรายละเอียดประกอบงบการเงิน เช่น รายละเอียดลูกหนี้ , รายละเอียดเจ้าหนี้ เป็นต้น
- จัดเตรียมข้อมูล เพื่อมอบให้ผู้ตรวจสอบบัญชี ตรวจสอบ
- ภาษีหักณที่จ่าย เช่น ภ.ง.ด. 1,2,3,53,ภ.ง.ด.1ก, ภ.ง.ด.2ก,ภ.ง.ด.3ก
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ภ.พ.30, ภ.พ. 36
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น ภ.ง.ด.50,51,52,54,55
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ เช่น ภ.ธ.40
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่น ภ.ง.ด. 90,91,93,94,95
- อากรแสตมป์
- แบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ (สปส. 1-10) ต่อสำนักงานประกันสังคม
- ตรวจสอบบัญชีและงบการเงินประจำปี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)โดยปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี
ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายหรือประกาศของสภาวิชาชีพบัญชี
- ตรวจสอบบัญชีและรับรองบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน โดยผู้สอบบัญชีภาษีอากร (TA) โดยปฏิบัติงานตรวจสอบตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
- เสนอข้อสังเกต ต่อผู้บริหารเพื่อให้ทราบถึงจุดอ่อนของการควบคุมภายในทางบัญชีที่สำคัญ ที่อาจนำมาซึ่งการทุจริต รวมทั้งแจ้งให้ทราบ ถึงข้อผิดพลาดทางการบัญชี พร้อมข้อเสนอแนะ ทั้งนี้เพื่อให้งบการเงินแสดงข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสมส่งผลให้การบริหารงานของกิจการ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ตรวจสอบเฉพาะกรณี ตามข้อตกลง
- บริการ ยื่นงบการเงิน พร้อมจัดเตรียมรายละเอียดประกอบการยื่นงบการเงินตามที่กฎหมาย กำหนด ได้แก่ สบช.3, สำเนารายชื่อ
ผู้ถือหุ้น (บอจ.5) นำส่ง ต่อกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์
1. ขั้นตอนการขอจดทะเบียน
บริษัทนิติบุคคลจะมีขั้นตอนในส่วนของการจดทะเบียนที่จะต้องดำเนินการที่คล้ายคลึงกันกับบริษัทส่วนบุคคลธรรมดาทั่วไป คือ
ส่วนที่ 1 ต้องเริ่มไปดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทนิติบุคคลก่อน โดยสามารถไปขอจดทะเบียนได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กระทรวงพาณิชย์ หรือจะใช้วิธีการจดทะเบียนออนไลน์ก็ได้เช่นเดียวกัน จากนั้นจึงไปจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่สำนักบริการจดทะเบียนธุรกิจ
กระทรวงพาณิชย์เช่นเดียวกัน ถ้าอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ไปดำเนินการจดทะเบียนได้ที่พาณิชย์จังหวัด
ส่วนที่ 2 การยื่นขอจดทะเบียนขอมีเลขและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 60 วันนับจากวันที่ได้จดทะเบียนก่อตั้ง
เป็นบริษัทนิติบุคคล และจำเป็นต้องยื่นทำการจดทะเบียนในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มควบคู่กันไปด้วย ซึ่งการจดทะเบียนภาษีทั้ง 2 อย่าง
สามารถดำเนินการได้ที่กรมสรรพากร
2. การคำนวณภาษี
การคำนวณภาษีเงินได้บริษัทนิติบุคคลจะมีวิธีการคำนวณที่ค่อนข้างจะละเอียดและซับซ้อนกว่าภาษีเงินได้ประเภทบริษัทส่วนบุคคล
โดยวิธีการคำนวณเบื้องต้น คือ ทำการคำนวณหาในส่วนของรายรับและรายจ่ายตลอดทั้งปี (12 เดือน หรือ 6 เดือนในกรณีของบริษัท
นิติบุคคลที่เพิ่งจะตั้งใหม่) ให้ออกมาเป็นผลกำไรประกอบการสุทธิ ซึ่งผลกำไรสุทธิที่ได้ออกมาจะต้องสามารถยื่นแสดงเป็นเอกสารในทาง
บัญชีถึงที่มาที่ไปรายรับรายจ่ายได้ โดยมีวิธีการคิดอัตราภาษีดังนี้ บริษัทนิติบุคลที่มีทุนการจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิไม่เกิน 1 ล้านบาทจะต้องทำการเสียภาษี 15% มีผลกำไรสุทธิอยู่
ระหว่าง 1-3 ล้านบาท จะต้องเสียภาษี 25% และถ้ามีกำไรที่มากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษีในอัตรา 30% เท่านั้น ส่วนบริษัทที่มี
ทุนจดทะเบียนเกิน 5 ล้านบาท จะเสียภาษีจากผลกำไรของการประกอบการสุทธิอยู่ที่ 30% ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มจะใช้วิธีการคำนวณจาก
ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนแล้วจึงนำมายื่นชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยข้อมูลวิธีการคิดคำนวณภาษีทั้ง 2 แบบ
สามารถดูเพิ่มเติมได้จากทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการคิดคำนวณภาษีทั้ง 2 แบบของบริษัทนิติบุคคลควรจะให้ฝ่ายบัญชีเป็นผู้คิดคำนวณให้หรือถ้าเป็นบริษัทที่เพิ่งจะ
ก่อตั้งใหม่ยังไม่มีฝ่ายบัญชีก็ต้องทำการจ้างบริษัทที่รับทำบัญชีโดยด่วน เพื่อจะได้เข้ามาช่วยในเรื่องการดูแลทางด้านการเงินทั้งในส่วนของ
รายรับรายจ่ายและเรื่องการเสียภาษีตั้งแต่เริ่มต้นของบริษัท ไม่ควรที่จะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองเพราะเนื่องจากมีความซับซ้อนมาก
ในรายละเอียด อีกทั้งยังติดขัดในเรื่องของข้อกฎหมายที่กำหนดให้บริษัทนิติบุคคลต้องมีนักบัญชีที่จบมาทางด้านนี้โดยตรงตามวุฒิการศึกษา
เป็นผู้ดำเนินการด้วย
3. การยื่นภาษี
ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้บริษัทนิติบุคคลต้องทำการขอยื่นแบบภาษีปีละ 2 ครั้ง
ครั้งแรกเรียกกันว่าการยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบ(ครึ่งปี) ซึ่งจะต้องยื่นภายใน 60 วันนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรก
ของรอบรยะเวลาบัญชี โดยใช้เอกสาร ภ.ง.ด.51 เท่านั้นในการยื่นเรื่อง
ครั้งที่สองหรือที่เรียกว่าการยื่นภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบ(สิ้นปี) ต้องยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลา
บัญชีในปีนั้น โดยแบบเอกสารที่ใช้ในการยื่นคือ ภ.ง.ด.50
ซึ่งในการยื่นทั้ง 2 ครั้งสามารถมาทำการยื่นด้วยตนเองหรือจะให้ตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากบริษัทมาทำการยื่นแทนก็ได้ที่กรมสรรพากร
ถ้าอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถยื่นได้ที่ที่ว่าการอำเภอที่บริษัทตั้งอยู่ นอกจากนี้ในปัจจุบันทั้ง ภ.ง.ด.51
และ ภ.ง.ด.50 สามารถยื่นแบบออนไลน์ได้แล้วที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
4. การชำระบัญชี
สถานที่ที่ใช้ชำระเงินภาษีนิติบุคคลถ้าเป็นในเขตกรุงเทพมหานครให้มาชำระได้ที่กรมสรรพากรหรือธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของประเทศไทย
ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ไปชำระได้ที่สรรพากรที่ตั้งอยู่บนที่ว่าการอำเภอ หรือธนาคารพาณิชย์ของไทยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับที่
สำนักงานใหญ่ของทางบริษัทตั้งอยู่
เนื่องจากการจ่ายภาษีในส่วนของบริษัทนิติบุคคลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นควรที่จะมีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องบัญชีโดยเฉพาะ
และมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องเป็นผู้ดูแลให้ ส่วนผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจก็ควรรู้ไว้แค่ในส่วนของหลักการเบื้องต้นก็น่าจะพอ
การมีนักบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญอยู่ในบริษัทเปรียบเสมือนการมีเพชรน้ำดีไว้ในครอบครองเลยก็ว่าได้ เพราะความเชี่ยวชาญของนักบัญชี
จะอาศัยช่องว่างทางกฎหมายที่สามารถพอจะยอมรับได้ทำการซิกแซกหาช่องทางช่วยให้บริษัทจ่ายภาษีที่น้อยลงมากกว่าเดิมจากอัตราปกติ
ซึ่งควรต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่าการซิกแซกนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่จ่ายค่าภาษีให้ประเทศชาติเลย แต่เป็นการจ่ายที่น้อยลงจากปกติตามที่
กฎหมายได้เปิดช่องเอาไว้ให้ไม่ได้เป็นการกระทำผิดกฎหมายแต่ประการใด และอย่าคิดที่จะไม่จ่ายภาษีเป็นอันขาดเพราะรับรองว่าสุดท้าย
สรรพากรจะต้องตามตรวจเจอและจะมีบทลงโทษอย่างร้ายแรงตามมาในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเสียเลยที่ผู้ประกอบการจะต้องไป
เสี่ยงอย่างแน่นอน |